ควายธนู



ควายธนู เป็นเครื่องรางที่สะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมเกษตรกรรม อันมีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว เลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานด้านการเกษตร วิชาเหล่านี้ที่นิยมมีทั้งวัวธนูและควายธนู สร้างได้หลายวิธี เช่น สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง บ้างก็หล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า ,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา เมื่อทำสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ 

เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้านหรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย สามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย โดยมีคาถาใช้เสกเมื่อทำควายธนูว่า โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ

ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคในประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว การสานวัวหรือควายธนูที่ทำจากไม้ไผ่นั้นมีแบบมาจากสายพ่อค้า การทำธนูมือแต่วัวหรือควายธนูนี้จะแรงมากก็คือการปราบเสือเย็น(เสือสมิง)และยังใช้ทำน้ำมนต์ประพรมสิ่งของขายดีต่างๆเพราะแบบนี้จึงเป็นสายพ่อค้าแต่แบบไหนก็ใช้ได้เหมือนกัน อาจต่างที่รูปมวลสารอาจเป็นผงเป็นโลหะไม้ไผ่แล้วแต่เจตนาผู้สร้าง

โขมด



 โขมดเป็นผีชนิดหนึ่งในจำพวกผีกระสือ เพราะไปไหนมีแสงเรืองวาวในเวลากลางคืน ในที่ซึ่งมีน้ำขัง นัยว่ามันไม่ทำอันตรายใครเหมือนผีโพลงหรือผีกระสือ นอกจากลวงคนให้หลงผิดเท่านั้น นึกว่ามีคนถือไฟหรือจุดไฟอยู่ข้างหน้า ถ้าตามดวงไฟไป พอเข้าใกล้มันจะหายแสง แล้วปรากฏเป็นดวงไฟอีก อยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังแล้วแต่มันจะหลอก

 ตำนานเล่าว่า โขมดดงนั้นคือคนที่ล้มตายในป่าดงแล้วสิงสู่อยู่ที่นั่น มีทั้งดุร้ายน่ากลัวพอๆ กับโขมดป่า กับชอบปรากฏกายในรูปร่างแปลกๆ มาหลอกหลอนผู้คนให้ขวัญหนีดีฝ่อ แทบไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน สัมว์จำพวกค้างคาวผี, งูเจ้าที่, หมาปีศาจ เชื่อกันว่าเกิดจากอำนาจของโขมดดงทั้งสิ้น

 เล่าขานกันว่า คนที่จำเป็นต้องเดินป่าตอนกลางคืน หรือนอนค้างอ้างแรมที่นั่น รวมทั้งพวกที่ออกไปจับกบจับเขียดหลังฝนตกตอนค่ำ มักจะเจอโขมดในรูปของดวงไฟลอยวูบวาบ มองเผินๆ เหมือนมีคนถือโคมไฟเดินเข้ามาหา แต่พอเข้ามาใกล้ๆ ยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตาก็หายวับไปแล้ว บางคนจับกบเขียดได้เต็มข้อง เมื่อกลับบ้านเปิดออกดูกลับไม่มีกบเขียดหลงเหลืออยู่เลย เพราะโขมดมาเงียบไปเงียบ ล่าเหยื่อรวดเร็วและไร้ร่องรอย

เกียรติมุข



 เกียรติมุข หรือ กาล หลายคนมักอาจสับสนกับราหู แต่แท้ที่จริงแล้วหน้ากาล มีตำนานที่เป็นผู้ปราบราหู 

 เรื่องราวของกาล เกิดในเรื่องเล่าฮินดูจากวัฒนธรรมขอม เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งมีอสูรที่มีฤทธิ์มาก ชือ ชลันธร (ชลันฮา) เกิดจากไฟของพระศิวะ มีนิสัยระรานไปทั้งสามโลก สมคบกับราหูว่าอยากได้นางปารวดี(ชายาพระศิวะ)มาเป็นชายาของตน จึงส่งราหูไปขอพระศิวะแบบไม่เกรงใจ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระศิวะโกรธจนมีอสูรกายหน้าตาน่ากลัวมีนามว่า "กาล" เกิดขึ้นมาจากความโกรธของพระองค์
และตรงเข้าจะกินราหู ราหูเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขอขมาด้วยความหวาดกลัว พระศิวะจึงสั่งให้กาลหยุดเสียก่อนและไว้ชีวิตราหู กาลเมื่อหยุดไล่ล่าราหูก็เริ่มหันมากัดกินตัวเองด้วยความโกรธและหิว กินจนเหลือแต่เพียงใบหน้าและแขน พระศิวะเห็นดังนั้นก็คำนึงว่า ความโกรธนั้นเป็นสิ่งน่ากลัวที่ทำลายทุกสิ่งแม้กระทั่งตัวของมันเอง พระองค์จึงแต่งตั้งหน้ากาลให้นามใหม่ว่าเกียรติมุข ซึ่งหมายถึงหน้าอันมีเกียรติ 
คอยทำหน้าที่เฝ้าซุ้มประตูวิหาร ภายหลังจากเหตุการณ์นั้นพระศิวะก็สามารถปราบอสูรชลันธรได้สำเร็จ 

 นอกจากนี้ยังมีคำอธิบายมากมายเกี่ยวกับเกียรติมุขในมุมมองของศาสนาพุทธ ที่หมายถึง เวลา ที่กินทุกสิ่ง เพื่อเตือนให้มนุษย์ได้ลงมือทำวันนี้ให้ดีที่สุด การทำสิ่งใดด้วยอารมณ์โทสะแม้จะมีอำนาจดูดุดัน แต่มันก็กัดกินตัวของมันเองเช่นกัน 

 กุมารทอง



 กุมารทอง เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ของไทยเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ที่มาของกุมารทองมาจากการเลี้ยงภูติผีปีศาจไว้ใช้งาน โดยกุมารทองจะเป็นวิญญาณของเด็กผู้ชาย หากเป็นวิญญาณผู้หญิงที่คนเลี้ยงไว้จะเรียกว่า "โหงพราย"

 กุมารทองนั้นแรกเริ่มมาจากวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่หรือที่เรียกว่าตายทั้งกลม ผู้มีวิชาอาคมจะไปนำพาวิญญาณเด็กนั้นมาเลี้ยงไว้เป็นลูก จากหลักฐานที่พบ ในเอกสารโบราณระบุถึงการทำกุมารทองสรุปว่า ต้องหาศพที่ตายทั้งกลม แล้วประกอบพิธีกรรมผ่าเอาศพทารกในท้องนั้นมาย่างไฟให้แห้งสนิทก่อนรุ่งอรุณ แล้วจึงลงรักปิดทองให้ทั่ว ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่ากุมารทอง ต่อมาสังคม วัฒนธรรมพัฒนามากขึ้น ทำให้สร้างกุมารทองจากศพทารกจริงๆได้ยาก จึงได้มีการดัดแปลงกรรมวิธีการสร้างกุมารทองขึ้น โดยใช้ดินเจ็ดป่าช้าบ้าง ไม้รักซ้อนหรือไม้มะยมบ้าง ไปจนถึงโลหะ มาสร้างเป็นรูปกุมาร แล้วปลุกเสกตั้งจิต ตั้งธาตุทั้ง 4 และเรียกอาการสามสิบสองให้บังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา

 กุมารทองปัจจุบันนิยมสร้างเป็นรูปเด็ก ลักษณะเป็นเด็กไว้จุก นุ่งโจงกระเบนอย่างโบราณ กลายเป็นเครื่องรางของขลัง ผู้บูชาต้องเลี้ยงดูเหมือนลูกของตน ต้องให้ข้าวน้ำเซ่นสรวงและต้องเรียกให้กินข้าวด้วย กล่าวกันว่าหากปฏิบัติดูแลดีกุมารทองก็จะช่วยค้ำคูณ ช่วยคุ้มครองเจ้าของและครอบครัวจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ทำมาค้าขึ้น ไปจนถึงเตือนภัยล่วงหน้า และจะคอยติดตามเฝ้าระวังบ้านเรือนจากโจรผู้ร้ายและศัตรูไม่ให้มากล้ำกราย ปัจจุบันผู้บูชานิยมไหว้ด้วยน้ำแดง

กองกอย



 กองกอย เป็นผีป่า (ผีไพร) เป็นผีที่มีขาข้างเดียว บ้างก็ว่ามีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน เวลาไปไหนมาไหนจะกระโดดไปด้วยขาข้างเดียว ส่งเสียงร้องว่า "กองกอย ๆ" อันเป็นที่มาของชื่อ เชื่อว่ามีหน้าตาคล้ายลิงหรือค่าง บ้างเรียกว่า ผีโป่ง หรือผีโป่งค่าง สันนิษฐานว่า ความเชื่อเรื่องผีโป่ง ก็คือ ค่างแก่ที่หน้าตาน่าเกลียดไม่สามารถขึ้นต้นไม้ได้ มีความเชื่อของคนบางกลุ่มว่า ถ้าได้ดื่มเลือดค่างจะทำให้ร่างกายคงกระพันเป็นอมตะ มีความเชื่อว่า ผีกองกอย จะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนค้างแรมในป่า วิธีการป้องกันคือ ให้นอนไขว้ขาหรือชิดเท้ากันทั้งสองข้างและอย่านอนเอาขาหรือเท้าออกนอกเต็นท์นอน

 นอกจากนี้ชาวภูไทที่อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร มีความเชื่อว่า ผีกองกอยเป็นผู้หญิงที่มีผมยาวสีแดง มีใบหน้าเรียวแหลม บ้างก็ว่ามีรูปร่างลักษณะเหมือนลิง แต่มีขนาดเล็กกว่าลิงหรือลิงลมเสียอีก ผีกองกอยเป็นผีที่มีครอบครัว บ้างก็อาศัยอยู่ในถ้ำหรือโพรงไม้ ออกหากินโดยจับปลากินตามลำห้วย หรือแม่น้ำ บางครั้งก็ขโมยปลาหรือข้าวของของผู้คน 

 ผีกองกอยชอบเดินถอยหลัง และพูดอะไรที่ตรงข้ามกับความจริงเสมอ อีกทั้งยังเชื่ออีกว่า ผีกองกอยมีทรัพย์สินสมบัติสะสมอยู่มาก ซึ่งบางครั้งหากไปพบทรัพย์สมบัติหรือปลาตกอยู่กลางทางหรือในป่า โดยไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ ห้ามเก็บมา เพราะอาจเป็นผีกองกอย ผีกองกอยจะตามมาทวงคืน โดยอาจจะทำร้ายมนุษย์ด้วยการล้วงควักตับไตไส้พุงกินเป็นอาหารได้ในเวลาหลับ เช่นเดียวกับผีปอบ ซึ่งผู้ที่ถูกผีกองกอยล้วงควักอวัยวะภายในไปกินนั้น จะเสียชีวิตเหมือนนอนหลับปกติ เรียกว่า "ใหลตาย"

กระหัง



 กระหัง หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า กระหาง เป็นผีผู้ชาย เชื่อกันว่าผู้ที่เป็นผีกระหังนั้น จะเป็นผู้ที่เล่นไสยศาสตร์ เมื่ออาคมแกร่งกล้าไม่สามารถควบคุมได้ก็จะเข้าตัว กลายเป็นผีกระหัง กระหังยามกลางวันจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมผู้คนในสังคม แต่ตกกลางคืนมันจะกลับกลายร่างเดิมของมันเต็มตัว กระหังมีลักษณะแปลกประหลาดเป็นภูติพราย มันมีกระด้งใหญ่ใส่แขนทั้งสองข้างของมัน กระด้งนั้นทำให้มันมีอิทธิฤทธิ์บินไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ ส่วนการสืบทอดทายาทของกระหังนั้นไม่แน่ชัด

ผีกระหัง จะบินได้ในเวลากลางคืน มีปีกที่เล็กเท่าเส้นขน และหางที่สั้นติดกับก้น จะไปไหนก็ใช้กระด้งต่างบิน สากตำข้าวต่างขา สากกระเบือต่างหาง ออกหากินของโสโครก เช่นเดียวกับ ผีกระสือ หรือผีโพง

กระสือ




 กระสือ เป็นผีที่สิงในเพศหญิง มีลักษณะ เป็นหัวคนที่ล่องลอยไปมาพร้อมกับไส้และอวัยวะส่วนอื่น เช่น หัวใจ ปอด และเรืองแสงได้ ชอบรับประทานของสดคาว ออกหากินกลางคืน ส่วนอื่นๆของร่างกายทิ้งไว้ที่บ้าน เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟมีแสงเรื่องๆ

 นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าถ้าใครคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวเลือดจะชักนำให้ผีกระสือมากินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูกหรือของทารกที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึงมักเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้กระสือเข้ามา เชื่อกันว่ากระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้ 

 นอกจากของสดของคาวแล้ว กระสือยังชอบรับประทานของโสโครก เช่น อุจจาระ เป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ดปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวง ๆ และถ้าเอาผ้านั้นไปต้ม กระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้ม นอกจากนี้กระสือนั้นเมื่อเจ็บจวนจะตายก็ไม่ตายง่ายๆ ต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้สืบทายาทเป็นกระสือต่อก่อน จึงจะตายได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมาน 

 การปราบกระสือนั้น ไม่สามารถไล่ผีที่มาสิงสู่ออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณนั้นได้หยั่งลึกลงในใจแล้ว ฉะนั้น การปราบกระสือก็เท่ากับต้องฆ่าคนๆนั้นไปเลย


ความเชื่อเรื่องกระสือ กับ คนไทยโบราณ


ความเชื่อเรื่องกระสือนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยโบราณหลายประการด้วยกัน เป็นต้นว่า
-ผลกล้วยที่แกร็นทั้งเครือ จะเรียกว่า "กล้วยกระสือดูด"

-คนตะกละกินหรือคนที่กินอย่างสวาปาม จะเรียกว่า "คนตะกละเหมือนผีกระสือ" หรือ "คนกินเหมือนผีกระสือ"

-โคมชนิดหนึ่งซึ่งมีที่เปิดปิดไฟได้และมีแว่นฉายแสงไปได้วาบ ๆ เรียกว่า "โคมตาวัว" หรือ "กระสือ"
ไพลชนิดหนึ่งซึ่งเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า "ว่านกระสือ"

-ที่ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อ "หนองเกษม" เดิมมีชื่อว่า "หนองกระสือ" ทั้งนี้มีเสียงร่ำลือกันว่าเมื่อปี พ.ศ. 2530 มีชาวบ้านพบเห็นกระสือที่นี่ ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเพื่อลดความน่ากลัวลง

ความเชื่อ


ความเชื่อ คือ สิ่งที่ที่คนเราคิดขึ้นมาโดยไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน ความเชื่อบางอย่างอาจสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณ ในสมัยก่อนตอนที่ยังขาดความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่มีการพิสูจน์ถึงความจริงของเรื่องนั้นๆ ทำให้เกิดความเชื่อต่างๆขึ้นมากมาย แม้แต่ในยุควิทยาศาสตร์อย่างปัจจุบัน ก็ยังมีความเชื่อเก่าๆหลงเหลืออยู่ และมีความเชื่อใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างไม่หมดสิ้น

ความเชื่อของคนไทยโบราณ




มาดูความเชื่อของคนไทยโบราณกันดีกว่าครับ บางความเชื่อก็ยังหลงเหลือมาถึงรุ่นปัจจุบัน บ้างก็กลายเป็นมารยาททั่วไปในสังคมแล้ว แสดงให้เห็นถึงอิทธิผลของความเชื่อว่ามีบทบาทสำคัญไม่น้อยเลยในสังคมไทยของเรา 


- ห้ามใส่ชุดสีดำเยี่ยมคนป่วย เพราะสีดำเป็นสีที่คนโบราณถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์โศก การใส่ชุดดำไปเยี่ยมผู้ป่วยนั้นเป็นการแช่งให้ผู้ป่วยตายเร็วๆ ความเชื่อนี้กลายเป็นมารยาทในสังคมปัจจุบันไปแล้ว

- จิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด โดยถ้าเสียงนั้นอยู่ด้านหลังหรือตรงศีรษะให้เลื่อนการเดินทางแต่ถ้าเสียงร้องทักอยู่ด้านหน้าหรือซ้าย ให้เดินทางได้ จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นสะดวกสบาย

- ตุ๊กแกร้องตอนกลางวัน เชื่อว่าจะมีเหตุร้ายเพราะตามปกติแล้วตุ๊กแกที่อาศัยในบ้านมักจะร้องตอนกลางคืน ถ้าร้องตอนกลางวันถือเป็นลางบอกเหตุร้าย เนื่องจากคนโบราณเชื่อว่าตุ๊กแกคือ วิญญาณของปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วมาอาศัยอยู่ คอยคุ้มครองลูกหลานจากภัยอันตราย

- นกแสกเกาะหลังคาบ้าน จะเกิดลางร้าย เพราะนกแสกเป็นนกที่ถือว่าให้ความอัปมงคล เนื่องจากโดยธรรมชาตินกแสกมักจะไม่มาปะปนอยู่ตามที่อยู่อาศัยของคน

- ถ้านกถ่ายบนศรีษะ เชื่อว่าจะโชคร้าย หากกำลังจะออกเดินทางแล้วถูกนกถ่ายรดที่ศรีษะซะก่อน ให้หยุดการเดินทางทันที หรือเลื่อนกำหนดออกไปเป็นวันรุ่งขึ้น 

- เมื่อตัวเงินตัวทองคลานเข้าบ้าน ให้พูดแต่สิ่งดีๆ ไม่ให้ไล่

- กลางคืนถ้าได้ยินเสียงร้องทักห้ามขานรับ เพราะเชื่อว่าเป็นเสียงของดวงวิญญาณอาจจะมาหลอนมาหลอกหรือเป็นการเชิญวิญญาณเข้าบ้าน

- คนที่มีไฝที่ริมฝีปากล่าง ให้ระวังปากนำเคราะห์ เพราะพูดไม่คิด และมักเป็นคนใจร้อน อารมณ์รุนแรงขาดเหตุผลในการยับยั้งชั่งใจ

- คนใดที่มีลักษณะผมหยิกๆ หน้าสั้นคอสั้น มักเจ้าชู้ 

- คนใบหูใหญ่มักร่ำรวยและมีบุญวาสนา คนใบหูหนาเป็นคนมีศีลธรรมคนใบหูบางเป็นคนโดดเดี่ยว ไร้บุญวาสนา ความเชื่อนี้ออกจะแปลกๆหน่อย 

- คนที่พูดจาหลายเสียงในการพูดคุยครั้งเดียวกันเป็นคนคบยาก เพราะหาความแน่นอนอะไรไม่ได้

- คนหัวล้านมักจะเจ้าชู้และเจ้าเล่ห์ ซึ่งได้ต้นแบบมาจากขุนช้างในวรรณคดี ทำให้คนโบราณเชื่อว่า คนลักษณะแบบนี้จะมีนิสัยเหมือนขุนช้าง

- เด็กทารกคนใดที่เกิดมาแล้วมีปาน คนโบราณเชื่อว่า ชาติที่แล้วเด็กคนนั้นถูกป้ายด้วยของตำหนิเอาไว้ หากเป็นปานแดงหมายถึงถูกป้ายด้วยปูนแดง และหากเป็นปานดำหมายถึงถูกป้ายด้วยถ่าน

- ห้ามปลูกต้นไม้ที่วัดปลูกมาแล้ว เพราะเชื่อกันว่า ต้นไม้ที่ขึ้นตามวัดหรือนำไปปลูกที่วัดเป็นของสูงและสมควรอยู่ในวัด หากนำมาปลูกที่บ้านจะทำให้บ้านนั้นตกอับ

- ห้ามตัดผมวันพุธ เพราะเชื่อว่าการตัดผมวันพุธจะทำให้เกิดอัปมงคลกับชีวิต เพราะอย่างนี้ ร้านตัดผมหลายร้านมักจะนิยมหยุดทำการในวันพุธ อันนี้ตอนเป็นนักเรียนก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน มันมาจากความเชื่อนี้นี่เอง

- หากตาซ้ายกระตุก เชื่อว่ามีเคราะห์ โชคร้ายผิดหวัง ตาขวากระตุกถือว่าโชคดี แต่ถ้าเป็นในช่วงกลางคืน ตาขวากระตุกจะไม่ดี จะมีเคราะห์มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่ถ้าหากเป็นตาซ้ายกระตุกจะมีโชคลาภจากเพื่อน

- หากสัตว์ป่าเข้าบ้านเชื่อว่าจะนำความอัปมงคลมาให้ ควรจุดธูปเทียน ดอกไม้และเชิญให้ออกจากบ้าน พร้อมกับขอพรให้นำพาสิ่งดีงามมาให้

- ขณะที่กำลังสางผม หากหวีเกิดหักคาผม จะเกิดเรื่องไม่ดีตามมา ให้นำหวีนั้นทิ้งไปเลย ไม่ให้เก็บไว้ใช้หรือนำไปซ่อมมาใช้ใหม่

- ตอนกลางคืนถ้าได้กลิ่นธูปลอยมา คนโบราณเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของญาติสนิทภายในครอบครัวมาหา

- ห้ามเผาศพวันศุกร์ เพราะคนโบราณถือว่าการเผาศพในวันศุกร์จะให้ทุกข์กับคนเป็นญาติ เนื่องจากวันศุกร์เป็นวันแห่งโชคลาภ เหมาะกับงานมงคลมากกว่า

- ผึ้งทำรังในบ้าน เชื่อว่ามีโชค อย่าไล่หรือทำลาย เพราะอาจจะทำให้เกิดความหายนะ เพราะผึ้งเป็นแมลงนำโชคที่ขยันการทำงาน

- การปลูกต้นว่านชี้ชะตาได้ โดยถ้าต้นว่านเจริญงอกงาม ทำนายว่าการค้าจะงอกงาม แต่ถ้าต้นว่านแห้ง ทำนายว่าการค้าจะไปไม่รอด

- ก่อนออกจากบ้านให้ตั้งสติและก้าวเท้าขวาออกก่อนเท้าซ้าย จะนำโชคดีมาให้ เพราะเชื่อว่าร่างกายมนุษย์เป็นพลังงานลบที่อ่อนแอกว่าด้านขวา

- หากนั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่ และเกิดมือชนกันขณะเอื้อมไปตักกับข้าว เชื่อกันว่าจะมีแขกมาเยือนให้เตรียมตัวต้อนรับ

- กลางคืนห้ามกวาดบ้าน เพราะเชื่อว่าจะเป็นการกวาดเงินกวาดทองที่สะสมมาตั้งแต่ตอนเช้าออกไปหมดซึ่งอาจเป็นได้ว่าเมื่อก่อนไม่มีไฟฟ้าตอนกลางคืนมืดมาก การกวาดบ้านตอนกลางคืนจึงไม่ปลอดภัย

- อย่าเคาะจานข้าว เพราะ เชื่อว่าเป็นการเรียกวิญญาณที่พเนจร เมื่อได้ยินเสียงเราเคาะจาน ก็จะพากันมาแย่งเรากินข้าว 

- ไม่ควรมีรูปภาพหรือรูปปั้นยักษ์ประดับตกแต่งบ้าน เพราะจะทำให้คนในบ้านทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อย มีแต่เรื่องเดือดร้อน

- อย่าตั้งเตียงนอนโดยเอาหัวเตียงหันไปชนกับห้องน้ำ เพราะจะทำให้โชคลาภหนีหาย และอย่าตั้งเตียงนอนโดยหันปลายเตียงตรงกับประตูทางเข้าพอดี เพราะจะทำให้ฝันร้าย

- การแบ่งอาหารและน้ำให้แก่สุนัขหรือแมวจรจัดที่หิวโหย หรือการให้ที่พักพิงแก่สัตว์เหล่านี้ในวันฝนตกเป็นอานิสงส์มหาศาล

- อย่าปล่อยให้ครัวสกปรก เพราะจะทำให้อับโชค ขาดเงิน ขาดทอง

- อย่าให้ของขวัญคนรักหรือเพื่อนสนิทเป็นผ้าเช็ดหน้า เพราะถือว่าเป็นลางไม่ดี หากมอบให้แล้วจะถือว่าเป็นลางต้องจากกันหรือมีเรื่องทะเลาะกัน

- ถ้าปล่อยให้กระจกในบ้านขุ่นมัว จะทำให้ดวงชะตาของคนในบ้านจะหม่นหมองทำอะไรก็ไม่ขึ้น จึงต้องหมั่นเช็ดกระจกสม่ำเสมอ

- วันโกน วันพระวันเกิด และวันเข้าพรรษา ควรงดมีเพศสัมพันธ์ เพราะถือว่าเป็นวันบิรสุทธิ์ 

- การทำบุณโลงศพอนาถาที่ไร้ญาติ จะเสริมชะตาเราให้กล้าแข็ง ทำให้ทุกข์และเคราะห์เบาบางลงไปได้

- การสวมแหวนนิ้วกลางข้างขวา ถือเป็นการเสริมดวงการเงินและบารมี ส่วนการสวมแหวนนิ้วนางหรือนิ้วก้อยถือเป็นการเสริมเสน่ห์และเสริมดวงความรัก

- หากเดินไปเจอเหรียญตกให้เก็บเป็นเหรียญนำโชค หากมองผ่านเลยไป จะเหมือนเป็นการดูถูกเงินน้อย ทำให้อับโชคในช่วงเวลานั้นๆ

- ห้ามสาวโสดร้องเพลงในครัว เพราะจะได้แฟนแก่ หาแฟนไม่ได้ แต่ถ้าตำครกเสียงดังจะมีหนุ่มมาสู่ขอ

- ควรหมั่นดูแลหิ้งพระให้สะอาดสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการทำให้เกิดความอับโชคหรือเสื่อมลาภ เสื่อมยศได้

- ในบ้านควรมีไข่และส้มในตะกร้าเสมอ เพื่อเรียกความสมบูรณ์พูนสุขเข้าบ้าน

- ห้ามหญิงมีครรภ์ไปงานศพ เพราะเกรงว่าวิญญาณจะสามารถเข้าไปรบกวนทารกในครรภ์ 

- ถ้าสร้อยคอขาดออกจากคอหรือหลุดออกมา จะมีเหตุให้พบเรื่องร้าย

- ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกจะทำให้นอนฝันร้าย ตื่นขึ้นมาไม่สดชื่น

- ห้ามทักเด็กแรกเกิดที่ยังเล็กว่าน่ารัก เพราะอาจทำให้วิญญาณอิจฉา ลักพาตัวไป

- ห้ามตัดเล็บกลางคืน วิญญาณบรรพบุรุษจะอยู่ไม่เป็นสุข เพราะสมัยก่อนการตัดเล็บจะใช้มีดเจียนหมาก หรือมีดเล็กๆ จึงห้ามตัดเล็บในเวลากลางคืน เพราะอาจะเป็นอันตราย

- จะก้าวขึ้นหรือลงบันได ให้ก้าวทีละก้าวทีละขั้น อย่าก้าวทีเดียวสามชั้น จะทำให้ทำมาหากินไม่สำเร็จ เหมือนไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้ค่อนเป็นค่อยไป อย่าทำอะไรที่ให้เกินความสามารถ หรือข้ามขั้นตอน

- ห้ามหญิงท้องไปดูคนคลอดลูกจะทำให้คลอดลูกยาก เพราะหากหญิงมีครรภ์ไปดูคนอื่นคลอดลูกแล้วเห็นภาพอาการเจ็บปวดของการคลอดอาจจะทำให้กลัวและเกิดอาการเสียขวัญ

- โต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกเงา หรือบางกระจกเงาทั้งหลาย ไม่ควรนำมาวางตั้งให้ตรงกับปลายเตียงหัวเยงหรือเหนือเพดาน เพราะจะทำให้หมกหมุ่นอยู่กับเรื่องเพศ นอนหลับไม่สนิท และมักฝันร้ายอยู่บ่อยๆ

- ฝนตั้งเค้า ให้ปักตะไคร้คว่ำลงดินกลางที่โล่งแจ้ง จะทำให้ฝนหยุดตก

- อย่าลูบศรีษะของเด็ก โดยเฉพาะเด็กไทย เพราะศีรษะถือเป็นส่วนศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรให้ใครลูบเล่น

- ฝันว่างูรัด ทำนายว่าคนโสดจะได้พบเนื้อคู่เร็วๆนี้ฝันว่างูกัดทำนายว่าศัตรูเพศตรงข้ามจะคิดร้ายหรือได้รับเคราะห์จะเพื่อนบ้าน

- ฝันเห็นคนตายหรือศพ ทำนายว่าจะได้ลาภจากเสี่ยงโชค

- ฝันว่าฟันหักทำนายว่าจะสูญเสีย โดยถ้าฝันว่าฟันบนหัก ทำนายว่า จะเสียญาติผู้ใหญ่ข้างฝ่ายบิดา ถ้าฟันล่างหัก ทำนายว่าจะเสียญาติผู้ใหญ่ข้างมารดา

- ความฝันตอนเช้ามักเป็นความจริง เพราะ เชื่อว่าเทวดามาโปรดสัตว์ซึ่งเคยเป็นญาติมิตรของเรา

- ฝันว่าจูบกับคนรัก จะได้รับเคราะห์เล็กๆจากคนใกล้ตัว

- ห้ามฉลองก่อนวันเกิด เพราะอาจหมายถึงการรีบเร่งไปสู่ความตาย

- ภายในบ้านไม่ควรมีประตู 3 บาน ตรงกันหรือเหลื่อมล้ำตรงกันเพียงนิดเดียว เพราะเป็นสัญลักษณ์ของประตูจาก 3 โลก ทำให้วิญญาณเดินผ่านมาได้

- คางคกขึ้นบ้านถือเป็นลางดี แปลว่าบ้านนั้นกำลังจะมีโชค

- มือซ้ายกระตุก เชื่อว่ามีลางร้ายมีเหตุจะต้องเสียเงินเสียทองมือขวากระตุกเชื่อว่าเป็นลางที่ดีมาก จะได้รับโชคลาภ และอาจได้ลาภลอยจาการเสี่ยงโชค

- ผู้หญิงระหว่างมีประจำเดือน ไม่ควรก้าวล้ำไปในวัด เพราะอาจก่อให้เกิดความอัปมงคล

- ถ้านกในกรงที่เลี้ยงไว้ร้องในเวลากลางคืนเชื่อว่าจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง